ประมวลภาพแสงเหนือ-แสงใต้จากทั่วทุกมุมโลก หลังเจอพายุสุริยะครั้งใหญ่

ประมวลภาพแสงเหนือ-แสงใต้จากทั่วทุกมุมโลก หลังเจอพายุสุริยะครั้งใหญ่

ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดพายุสุริยะ (Solar Wind) จากดวงอาทิตย์พุ่งกระทบโลกครั้งใหญ่สุดในรอบมากกว่า 20 ปี ทำให้หลายประเทศในซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ได้พบเห็นปรากฏการณ์ “แสงออโรรา“ อันสวยงาม

ปรากฏการณ์ออโรราความจริงแล้วมี 2 รูปแบบ คือ “แสงเหนือ” (Aurora Borealis) ซึ่งจะเกิดในซีกโลกเหนือ และ “แสงใต้” (Aurora Australis) ที่จะเห็นได้จากซีกโลกใต้

ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่าย “ไตหมู” คนแรกของโลก เสียชีวิตแล้ว

อิสราเอลสังหารแนวร่วมอาวุโสฮามาสได้อีก 1 คน

ทั้งแสงเหนือและแสงใต้เกิดขึ้นเนื่องจากการชนกันของอนุภาคจากดวงอาทิตย์ปะทะกับโมเลกุลของก๊าซในชั้นบรรยากาศโลกชั้นบน บริเวณเทอร์โมสเฟียร์ (Thermosphere) ทำให้เกิดการระเบิดของพลังงานออกมาในรูปของแสงที่มองเห็นได้ โดยโมเลกุลของออกซิเจนจะทำให้เกิดแสงสีแดง-เขียว ส่วนไนโตรเจนทำให้เกิดแสงสีน้ำเงิน-ม่วง

แสงเหนือมักเป็นที่รู้จักมากกว่าแสงใต้ เนื่องจากมีสถานที่มองเห็นได้มากกว่า เช่น นอร์เวย์ กรีนแลนด์ แคนาดา ฯลฯ แต่แสงใต้มักเห็นได้จากขั้วโลกใต้ และอาจเห็นได้จากนิวซีแลนด์ บางส่วนของออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ และอเมริกาใต้ แต่โอกาสต่ำกว่ามาก

อย่างไรก็ตาม พายุสุริยะช่วง 10-12 พ.ค. ที่ผ่านมา เป็นพายุสุริยะรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 20 ปี มีความเร็วสูงสุดถึง 835 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถูกจัดอยู่ในระดับความรุนแรง G5 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด

ครั้งล่าสุดที่รุนแรงระดับนี้คือเมื่อปี 2003 ซึ่งครั้งนั้นสร้างความเสียหายให้กับระบบไฟฟ้าในสวีเดนและแอฟริกาใต้

พายุสุริยะที่รุนแรง หมายความว่า การปะทะระหว่างอนุภาคจากดวงอาทิตย์กับโมเลกุลก๊าซจะรุนแรงขึ้นด้วย ส่งผลให้ขอบเขตของแสงเหนือ-แสงใต้มีระยะการมองเห็นที่กว้างกว่าเดิม จนแม้แต่พื้นที่ที่อยู่ห่างออกมาจากขั้วโลกก็สามารถมองเห็นได้

ด้วยเหตุนี้ ทำให้มีหลายพื้นที่ทั่วโลกมากกว่าเดิมที่มองเห็นแสงเหนือ-แสงใต้ครั้งนี้ได้อย่างชัดเจน ดังประมวลภาพด้านล่างต่อไปนี้